Google:
'via Blog this'
ขอขอบคุณ GooGle
มาอ่านและดูว่า ร่างกายเราประกอบด้วยอะไรบ้าง
กายวิภาค
ยินดีตอนรับ ห้องสมุด พยาบาล
20 September 2011
12 September 2011
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด
การพยาบาลผู้ป่วยก่อนการผ่าตัด เริ่มตั้งแต่ผู้ป่วยเข้ามานอนรับการรักษาในหอผู้ป่วยจนกระทั่งผู้ตัดสินใจรับการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดและถูกนำไปยังห้องผ่าตัด พยาบาลเป็นบุคคลที่สำคัญในทีมสุขภาพที่จะช่วยแพทย์ใน
การประเมินทางการพยาบาล
ก. ความรู้สึกของผู้ป่วยต่อสภาวะความเจ็บป่วยหลังการผ่าตัด
ตรวจดูลักษณะของผิวหนัง เช่น ซีด เขียวคล้ำ และความตึงตัวของผิวหนัง
ค. ภาวะจิต สังคม
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลหลังผ่าตัด
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลหลังผ่าตัดในระยะต่อมาที่พบบ่อย
การพยาบาลหลังผ่าตัด
9. การสอนและแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวขณะที่อยู่โรงพยาบาลและขณะอยู่ที่บ้านป่วย
การรักษาพยาบาลผู้ป่วยอย่างถูกต้องเหมาะสม โดยช่วยประเมินสภาพผู้ป่วยตั้งแต่รับไว้รักษาในโรงพยาบาล โดยใช้ความรู้ความสามารถ และทักษะในการสัมภาษณ์และการสังเกตผู้ป่วยอย่างละเอียดในด้านประวัติ การตรวจร่างกาย
การตรวจทางห้องทดลอง การตรวจทางรังสีและการตรวจพิเศษ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยในการประเมินปัญหา ความต้องการของผู้ป่วยได้อย่างครอบคลุมทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม ตลอดจนสามารถให้
การพยาบาลผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสมทางด้านการเตรียมและการดูแลผู้ป่วยโดยทั่วไปก่อนการผ่าตัด การให้การพยาบาล
ที่พบ รวมทั้งการดูแลผู้ป่วยในเช้าของวันผ่าตัด จนกระทั่งช่วยส่งผู้ป่วยเข้าห้องผ่าตัด
การตรวจทางห้องทดลอง การตรวจทางรังสีและการตรวจพิเศษ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยในการประเมินปัญหา ความต้องการของผู้ป่วยได้อย่างครอบคลุมทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม ตลอดจนสามารถให้
การพยาบาลผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสมทางด้านการเตรียมและการดูแลผู้ป่วยโดยทั่วไปก่อนการผ่าตัด การให้การพยาบาล
ที่พบ รวมทั้งการดูแลผู้ป่วยในเช้าของวันผ่าตัด จนกระทั่งช่วยส่งผู้ป่วยเข้าห้องผ่าตัด
การพยาบาลผู้ป่วยก่อนรับการผ่าตัด
การเตรียมและดูแลผู้ป่วยโดยทั่วไปก่อนรับการผ่าตัด
1. ซักถามหรือสอบถามข้อมูลต่างๆ ตลอดจนการสังเกตอาการต่างๆ ของผู้ป่วยให้ถูกต้องและชัดเจน และควร
ซักถามจาญาติผู้ป่วยเพิ่มเติม
ซักถามจาญาติผู้ป่วยเพิ่มเติม
2. แนะนำหรือปฐมนิเทศให้ผู้ป่วยรู้จักสถานที่ สิ่งแวดล้อมต่างๆในหอผู้ป่วย
3. ประเมินค่าสัญญาณชีพ(vital signs) ชั่งน้ำหนัก
4. เก็บ Specimens ส่งตรวจทางห้องทดลองตามแผนการรักษา
5. ให้ผู้ป่วยเซ็นชื่อยินยอมรับการรักษาโดยการผ่าตัดตามแบบฟอร์มที่กำหนดไว้ในแต่ละโรงพยาบาล พร้อมทั้ง
มีพยานเซ็นชื่อกำกับไว้ด้วย
มีพยานเซ็นชื่อกำกับไว้ด้วย
5.1 ผู้ป่วยซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว มีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ สามารถเซ็นยินยอมได้ หากไม่บรรลุนิติภาวะแต่
มีอายุ 15 ปีขึ้นไป มีสติสัมปะชัญญะดี สามารถเซ็นใบยินยอมผ่าตัดได้ด้วยตนเองได้
มีอายุ 15 ปีขึ้นไป มีสติสัมปะชัญญะดี สามารถเซ็นใบยินยอมผ่าตัดได้ด้วยตนเองได้
5.2 ผู้ป่วยที่มีสุขภาพจิตที่ไม่สมบูรณ์ต้องให้บิดามารดาหรือผู้ปกครองตามกฎหมายเป็นผู้เซ็นใบยินยอม
5.3 ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่รู้สึกตัว ไม่สามารถตามผู้ปกครองมาเซ็นใบยินยอมผ่าตัดและ
ศัลยแพทย์ต้องรีบผ่าตัดเร่งด่วนเพื่อช่วยชีวิต ต้องให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบเป็นผู้เซ็นใบยินยอม
ศัลยแพทย์ต้องรีบผ่าตัดเร่งด่วนเพื่อช่วยชีวิต ต้องให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบเป็นผู้เซ็นใบยินยอม
5.4 ในกรณีผู้ป่วยหรือผู้ปกครองไม่สามารถเขียนหนังสือได้ ให้พิมพ์ลายนิ้วหัวแม่มือข้างขวาของผู้นั้น และให้เขียนกำกับตรงลายพิมพ์ว่า “ลายพิมพ์นิ้วหัวแม่มือขวาของผู้ป่วยหรือผู้ปกครองของผู้ป่วยนั้น” และให้พยาน
ลงชื่อกำกับ
ลงชื่อกำกับ
6. แนะนำให้ผู้ป่วยงดสูบบุหรี่ในรายที่มีประวัติสูบบุหรี่ สำหรับผู้ป่วยที่รอเข้ารับการผ่าตัดชนิดรอได้
7. รายงานแพทย์ทราบเมื่อประเมินสภาพผู้ป่วยแล้วพบว่า ผู้ป่วยมีประวัติดื่มสุราเรื้อรัง หรือติดยาเสพติด
8. อธิบายถึงการการเตรียมตัวผู้ป่วยให้ถูกต้อง
8.1 การเตรียมผิวหนังก่อนการผ่าตัด
8.2 การเตรียมลำไส้ก่อนการผ่าตัด
8.3 การให้ยากล่อมประสาท
8.4 การงดน้ำและอาหารก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
8.5 การให้ยาก่อนระงับความรู้สึกก่อนการผ่าตัด
9. สอนและแนะนำการออกกำลังกายบนเตียง
9.1 การหายใจเข้าเต็มที่ช้าๆ และการหายใจออกยาวๆ
9.2 การออกกำลังขาทั้งสองข้างขณะพักอยู่บนเตียง
9.3 การพลิกตัวตะแคงซ้ายหรือขวา
10. การแนะนำให้ผู้ป่วยเกี่ยวกับการลุกเดินโดยเร็ว (Early ambulation)
11. ดูแลการได้รับสารอาหาร น้ำและอิเล็คโตรไลท์ บางรายที่มีภาวะโลหิตจางแพทย์มักให้เลือดทดแทน สำหรับ
ผู้ป่วยที่รับประทานอาหารได้ก่อนการผ่าตัด พยาบาลดูแลให้ได้รับอาหารแคลอรี่สูง โปรตีน วิตามิน และเกลือแร่สูง
ผู้ป่วยที่รับประทานอาหารได้ก่อนการผ่าตัด พยาบาลดูแลให้ได้รับอาหารแคลอรี่สูง โปรตีน วิตามิน และเกลือแร่สูง
12. บันทึกจำนวนน้ำที่ได้รับและที่ขับถ่ายออกแต่ละวันให้ถูกต้องแน่นอน เพื่อความสมดุลของน้ำในร่างกาย
13. ชั่งน้ำหนักทุกวันตามแผนการรักษาของแพทย์
14. ดูแลสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ ไม่มีเสียงรบกวนมาก ที่นอนควรเรียบตึง และสะอาดสิ่งแวดล้อมและของร่างกาย
15. สังเกตอาการและอาการแสดงของผู้ป่วยที่เกี่ยวกับภาวะการขาดน้ำ ภาวะขาดโซเดียมและโปตัสเซียม หากพบความผิดปกติควรรีบรายงานแพทย์เพื่อให้การรักษา
16. สังเกตอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด และติดตามผลการตรวจทางห้องทดลอง การตรวจทางรังสี และการตรวจพิเศษอื่นๆ หากพบอาการผิดปกติรายงานแพทย์ทราบ
17. ดูแลความสะอาดของผิวหนังและช่องปากเสมอ
การเตรียมและการดูแลผู้ป่วยในเช้าวันผ่าตัด
1. การตรวจเยี่ยมผู้ป่วยที่เตรียมการผ่าตัด ซักถามการพักผ่อนนอนหลับ การงดอาหารและน้ำหลังเที่ยงคืน ผลการสวนอุจจาระ(ถ้ามี) และสังเกตอาการทั่วไป ตลอดจนกิจกรรมการรักษาพยาบาลพิเศษที่ให้กับผู้ป่วย เช่น การคาสายยางสำหรับการสวนปัสสาวะ การให้อาหารและน้ำทางหลอดเลือดดำ ฯลฯ
2. ตรวจดูความเรียบร้อยของผิวหนังบริเวณที่จะทำผ่าตัดว่าได้รับการทาผิวหนังด้วย Aseptic solutionในตอน
เช้ามืดแล้ว
เช้ามืดแล้ว
3. เก็บของมีค่า กิ๊บติดผม ฟันปลอม contact lens ฯลฯ จากตัวผู้ป่วยฝากไว้กับหัวหน้าตึกหรือพยาบาลประจำการ
4. บันทึกสัญญาณชีพ เพื่อประเมินสภาพการเปลี่ยนแปลงของตัวผู้ป่วย บันทึกไว้ในรายงานทางการพยาบาลสำหรับเปรียบเทียบในขณะที่ทำการผ่าตัด และบันทึกอาการและการรักษาพยาบาลที่ผู้ป่วยได้รับในรายงานทาง
การพยาบาลด้วย
การพยาบาลด้วย
5. ตรวจดูความเรียบร้อยของรายงานผู้ป่วย ตลอดจนผลการตรวจต่างๆ ตามแผนการรักษา
6. ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาก่อนระงับความรู้สึก(pre-medication)
7. แนะนำให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะก่อนย้ายไปห้องผ่าตัด เพื่อให้กระเพาะปัสสาวะว่างในรายที่ไม่ได้สวนปัสสาวะสำหรับผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะไว้ให้ตวงปัสสาวะและเททิ้งพร้อมกับบันทึกในรายงานการพยาบาล
8. ช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยขึ้นเปลเข็นของห้องผ่าตัดเมื่อพนักงานเปลมารับผู้ป่วย และเตรียมของใช้ต่างๆให้ครบ พร้อมลงบันทึกลงในสมุดสิ่งส่งมอบทุกครั้ง
9. เตรียมเตียงของผู้ป่วยให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะรับผู้ป่วยกลับจากห้องผ่าตัด โดยทำเตียงแบบ Anesthetic bed และควรมีการปูผ้ายางขวางเตียงตรงกับบริเวณแผลผ่าตัดผู้ป่วยด้วย รวมทั้งเตรียมผ่าห่ม เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ผู้ป่วยหลังทำการผ่าตัด ซึ่งจะมักรู้สึกหนาว นอกจากนี้ควรเตรียมของให้ที่จำเป็น เช่น เสา สาแหรกแขวนสารละลายที่ให้ทางหลอดเลือดดำ เครื่องดูดเสมหะพร้อมกับขวดน้ำยา เครื่องดูดชนิดต่างๆ ตามความจำเป็นที่จะต้องใช้กับผู้ป่วย
การพยาบาลผู้ป่วยหลังการผ่าตัด
การพยาบาลผู้ป่วยหลังการผ่าตัดเริ่มต้นจากระยะเวลาที่เคลื่อนย้ายผู้ป่วยมาถึงตึกผู้ป่วยภายหลังการผ่าตัด
เสร็จสิ้นลง จนกระทั่งผู้ป่วยกลับบ้านและกลับมาตรวจตามนัดที่โรงพยาบาลเพื่อประเมินผลการรักษา หากพยาบาลสามารถให้การพยาบาลได้เหมาะสมถูกต้องและครอบคลุมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม ตลอดจนช่วยให้
ผู้ป่วยฟื้นฟูสภาพและกลับไปอยู่ในสังคมได้ดี
เสร็จสิ้นลง จนกระทั่งผู้ป่วยกลับบ้านและกลับมาตรวจตามนัดที่โรงพยาบาลเพื่อประเมินผลการรักษา หากพยาบาลสามารถให้การพยาบาลได้เหมาะสมถูกต้องและครอบคลุมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม ตลอดจนช่วยให้
ผู้ป่วยฟื้นฟูสภาพและกลับไปอยู่ในสังคมได้ดี
การพยาบาลหลังผ่าตัด แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้
1. การพยาบาลผู้ป่วยหลังผ่าตัดทันทีหรือในระยะที่ฟื้นจากการได้รับยาระงับความรู้สึก (Immediate postoperative stage)
2. การพยาบาลผู้ป่วยหลังผ่าตัดในระยะต่อมา (Extended postoperative stage or later postoperative stage)
การประเมินทางการพยาบาล
การประเมินสภาพผู้ป่วยมีความสำคัญมากที่จะทำให้ปลอดภัย สุขสบาย และช่วยไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ โดยที่พยาบาลที่ให้การดูแลผู้ป่วยหลังการผ่าตัดต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และมีทักษะในการประเมินสภาพผู้ป่วยหลังการผ่าตัดเช่นเดียวกับในระยะก่อนการผ่าตัด ดังนี้
ก. ความรู้สึกของผู้ป่วยต่อสภาวะความเจ็บป่วยหลังการผ่าตัด
ข. การประเมินทางด้านร่างกาย
1. การตรวจร่างกาย พยาบาลควรมีการประเมินผู้ป่วยโดยเรียงลำดับความสำคัญ ดังนี้
1.1 ทรวงอกและปอด
- สังเกตลักษณะการหายใจ ฟังเสียงของการหายใจ
- ตรวจนับอัตราการหายใจ
- คลำหลอดคอดู tracheal shift หลังผ่าตัด
1.2 หัวใจและหลอดเลือด
- วัดสัญญาณชีพ
- ตรวจดูภาวะซีด
- วัด CVP. (ถ้ามี)
- EKG.
1.3 อุณหภูมิ
ผู้ป่วยหลังการผ่าตัดในระยะแรก โดยปกติอุณหภูมิของร่างกายปกติ อาจพบได้ว่ามีอุณหภูมิลดลงต่ำกว่าปกติได้ใน 2 – 3 ชั่วโมงแรกหลังการผ่าตัดและ บางรายอาจมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย หลังจากนั้นภายใน 24 – 48
ชั่วโมง ผู้ป่วยจะมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติได้ถึง 38° C หากมีไข้หลังวันที่ 3 ควรพิจารณาถึงการติดเชื้อ
ชั่วโมง ผู้ป่วยจะมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติได้ถึง 38° C หากมีไข้หลังวันที่ 3 ควรพิจารณาถึงการติดเชื้อ
1.4 บริเวณแผลผ่าตัด
- ตรวจดูแผลผ่าตัดทุก 15 นาทีแรกหลังการผ่าตัด เพื่อสังเกตการมีเลือดออก หรือ discharge ซึมจาก
แผลผ่าตัด ให้บันทึกจำนวน ลักษณะด้วย
แผลผ่าตัด ให้บันทึกจำนวน ลักษณะด้วย
- ตรวจดูสีผิว ผื่น จ้ำเลือด รอยถลอก หรือรอยไหม้ตรงบริเวณผิวหนังที่สาง plate หรือ ผูกรัดขณะ
ทำการผ่าตัด
ทำการผ่าตัด
- สังเกตลักษณะสี จำนวนของสารเหลวที่ออกจากท่อระบายต่างๆ
- สังเกตความผิดปกติของแผลผ่าตัด เช่น ลักษณะบวม แดง ร้อน ปวด เนื่องจากมีการติดเชื้อ แผลผ่าตัดแยก ฯลฯ
1.5 ระบบประสาท
ตรวจดู consciousness , orientation ของผู้ป่วยหลังได้รับการผ่าตัด โดยปกติผู้ป่วยมักจะรู้สึกตัวดีภายใน
24 – 72 ชั่วโมง นอกจากนั้นตรวจดูการเคลื่อนไหวของแขนขา รีแฟลกซ์ต่างๆ กำลังความตึงตัวของกล้ามเนื้อ ฯลฯ
24 – 72 ชั่วโมง นอกจากนั้นตรวจดูการเคลื่อนไหวของแขนขา รีแฟลกซ์ต่างๆ กำลังความตึงตัวของกล้ามเนื้อ ฯลฯ
1.6 ความเจ็บปวดแผลผ่าตัด
พยาบาลควรสังเกตพฤติกรรมความเจ็บปวดแผลผ่าตัดของผู้ป่วยด้วยว่าอยู่ระดับใด เพื่อประกอบการพิจารณาให้ยาแก้ปวด
1.7 ผิวหนัง
ตรวจดูลักษณะของผิวหนัง เช่น ซีด เขียวคล้ำ และความตึงตัวของผิวหนัง
1.8 ท้อง
ประเมินการเคลื่อนไหวของลำไส้แบบบีบรูดอย่างต่อเนื่องในระยะหลังผ่าตัด อาจประเมินทุก 4 – 8 ชั่วโมง เนื่องจากผลผลการได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย การใช้ยาบางชนิด หรือการผ่าตัดช่องท้องที่มีการลูบคลำกระเพาะอาหารและลำไส้ขณะทำการผ่าตัด นอกจากนี้ ควรสังเกตดูภาวะท้องอืด การปวดท้องจากแก๊ส
1.9 การขับถ่ายปัสสาวะ
สังเกตสี จำนวนของปัสสาวะที่ไหลออกมาจากสายยางสวนปัสสาวะที่ต่อกับถุงปัสสาวะ คลำดูการ
โป่งพองของกระเพาะปัสสาวะ กรณีที่ผู้ป่วยไม่ได้คาสายสวนปัสสาวะ ปกติควรถ่ายปัสสาวะได้เองภายใน 6 – 8 ชั่วโมง หลังจากได้รับยาระงับความรู้สึก
โป่งพองของกระเพาะปัสสาวะ กรณีที่ผู้ป่วยไม่ได้คาสายสวนปัสสาวะ ปกติควรถ่ายปัสสาวะได้เองภายใน 6 – 8 ชั่วโมง หลังจากได้รับยาระงับความรู้สึก
1.10 ความสมดุลของสารน้ำและอิเล็คโตรไลท์
ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดมักมีการสูญเสียเลือด สารเหลวในขณะทำการผ่าตัดและภายหลังการการผ่าตัดทางท่อระบายต่างๆ หรืออาจเกิดจากปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดจากการทำการผ่าตัด รวมทั้งการให้สารเหลวและ
อิเล็คโตรไลท์ทดแทนไม่เพียงพอ พยาบาลควรประเมินปริมาณ intake – output fluid และประเมินสังเกตอาการที่เกิดจากความไม่สมดุลของอิเล็คโตรไลท์ด้วย เช่น สับสน กระหายน้ำ เยื่อบุต่างๆ แห้ง ผิวหนังเหี่ยวแห้งเป็นรอยเหี่ยวย่น
หรือบวม กดบุ๋ม การเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ท้องอืด ชักเกร็ง ฯลฯ ซึ่งแสดงถึงการมี
ภาวะสารเหลวและขาดสมดุลของอิเล็คโตรไลท์
อิเล็คโตรไลท์ทดแทนไม่เพียงพอ พยาบาลควรประเมินปริมาณ intake – output fluid และประเมินสังเกตอาการที่เกิดจากความไม่สมดุลของอิเล็คโตรไลท์ด้วย เช่น สับสน กระหายน้ำ เยื่อบุต่างๆ แห้ง ผิวหนังเหี่ยวแห้งเป็นรอยเหี่ยวย่น
หรือบวม กดบุ๋ม การเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ท้องอืด ชักเกร็ง ฯลฯ ซึ่งแสดงถึงการมี
ภาวะสารเหลวและขาดสมดุลของอิเล็คโตรไลท์
2. การตรวจทางห้องทดลอง
2.1 CBC.
2.2 BUN & electrolyte
2.3 G/M ในรายที่ซีดจากการสูญเสียเลือดจากการผ่าตัด
2.4 ABG ในผู้ป่วยที่ใส่ Endotracheal tube นานมากกว่า 1 ชั่วโมง ผู้ป่วยที่ผ่าตัดช่องทรวงอก ฯลฯ
2.5 Albumin , PT. & PTT.
2.6 Hemocullture , Urine culture ฯลฯ
2.7 Urine specific gravity
3. การตรวจทางรังสีและการตรวจพิเศษตามดุลยพินิจของแพทย์
ค. ภาวะจิต สังคม
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลหลังผ่าตัด
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลในระยะหลังผ่าตัดทันทีที่พบบ่อยมีดังนี้
1. การแลกเปลี่ยนกาซลดลงหรือเสี่ยงต่อภาวะที่ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอเนื่องจากทางเดินหายใจถูกปิดกั้น
2. มีภาวะที่สารเหลวในร่างกายหรือเสี่ยงต่อการเกิดภาวะช็อก
3. ความสามารถในการสื่อสารโดยใช้ภาษาพูดลดลงเนื่องจากผลจากการใช้ยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย การได้รับยากล่อมประสาท และจากการใส่ท่อทางเดินหายใจ
4. เสี่ยงต่อการเกิดการแตกทำลายของผิวหนังเนื่องจากไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย หรืออยู่ในท่านอนไม่ดี หรือจากการผูกตรึงแขนขา
5. วิตกกังวลต่อสภาพความเจ็บป่วยและสิ่งแวดล้อมในห้องพักฟื้นหรือหออภิบาลผู้ป่วยหนัก
6. มีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการขับถ่ายปัสสาวะ : การถ่ายปัสสาวะไม่ออกเนื่องจากผลมาจากการใช้ยาระงับ
ความรู้สึก หรือการเจ็บปวดแผลผ่าตัดมาก
ความรู้สึก หรือการเจ็บปวดแผลผ่าตัดมาก
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลหลังผ่าตัดในระยะต่อมาที่พบบ่อย
1. การแลกเปลี่ยนแกสลดลงเนื่องจากไม่สามารถหายใจเข้าเต็มที่ช้าๆ และหายใจออกยาวๆ
2. แบบแผนการหายใจไม่มีประสิทธิภาพ : การระบายอากาศหายใจลดลง เนื่องจากความเจ็บปวดแผลผ่าตัด
3. ขาดความสามารถในการทำทางเดินหายใจให้โล่งเนื่องจากการไอไม่มีประสิทธิภาพ
4. ไม่ได้รับความสุขสบายเนื่องจากเจ็บปวดแผลผ่าตัด
5. เสี่ยงต่อการเกิดภาวะถุงลมปอดแฟบหรือภาวะปอดบวมเฉพาะที่ เนื่องจากมีเสมหะคั่งค้างและนอนอยู่กับที่นานๆ
6. เสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึกของขา เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวน้อย
7. เสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตต่ำ เนื่องจากการเปลี่ยนท่า
8. ร่างกายได้รับสารไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื่องจากการงดอาหารและน้ำทางปากหลายวันและได้รับสารอาหารทกแทนไม่เพียงพอ
9. มีภาวะขาดสารเหลวและอิเล็คโตรไลท์
10. พักผ่อนไม่เพียงพอเนื่องจากเจ็บปวดแผลผ่าตัด
11. มีการเปลี่ยนแปลงการทำหน้าที่ของระบบย่อยอาหาร : ท้องอืด ปวดท้องจากแก๊ส ท้องผูกเนื่องจากได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย หรือมีการออกกำลังกายน้อย
12. มีการแตกทำลายของผิวหนัง เนื่องจากการทำผ่าตัดและแผลผ่าตัดมีสารเหลวซึมมาก
13. วิตกกังวลต่อสภาพความเจ็บป่วยของตนเอง
14. เสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อของแผลผ่าตัด หรือระบบทางเดินปัสสาวะ เนื่องจากผิวหนังถูกทำลายจากการผ่าตัด หรือระบบการระบายไม่เป็นระบบปิด
15. ขาดความรู้ในการดูแลตนเองเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวขณะกลับไปอยู่ที่บ้านเนื่องจากไม่ได้รับการสอนและแนะนำ
การพยาบาลหลังผ่าตัด
1. จัดท่านอน
2. การประเมินระดับความรู้สึกตัวในระยะแรกหลังการผ่าตัด
3. หาวิธีการสื่อสารอื่นๆกับผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาพูดได้
4. สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงและการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ภายหลังการผ่าตัดที่สำคัญ ได้แก่
4.1 ภาวะอุดตันของทางเดินหายใจ
4.2 ภาวะตกเลือดและช็อก
4.3 ภาวะถุงลมปิดแฟบและปอดบวมเฉพาะที่
4.4 ภาวะเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึกของขาและความดันโลหิตต่ำ
4.5 ภาวะสะอึก ท้องอืด และลำไส้เป็นอัมพาต การปวดท้องจากแก๊ส
4.6 แผลผ่าตัดแยกจากกันบางชั้นและแผลผ่าตัดแยกจากกันทุกชั้น และมีอวัยวะภายในช่องท้องโผล่
ออกมา เช่น ลำไส้
ออกมา เช่น ลำไส้
4.7 การคั่งของน้ำปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะ และการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
4.8 แผลผ่าตัดมีการอักเสบติดเชื้อ
5. การบรรเทาความเจ็บปวดในระยะ 48 ชั่วโมงแรกหลังการผ่าตัด
6. การดูแลเกี่ยวกับการให้อาหารน้ำและอิเล็คโตรไลท์ให้อยู่ในภาวะสมดุล
7. ดูแลให้มีการระบายของสารเหลวออกทางท่อระบายต่างๆ
8. การดูแลด้านจิตใจ
9. การสอนและแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวขณะที่อยู่โรงพยาบาลและขณะอยู่ที่บ้านป่วย
Subscribe to:
Posts (Atom)