- นำอาหารและสารอื้นๆ ไปเลี้ยงเซลของร่างกาย
- ช่วยในการหายใจ คือนำออกซิเจนจากปอดไปยังเซลและคาบอนไดออกไซด์จากเซลไปส่งปอด
- ลำเลียงของเสียจากการเผาผลาญ metabolism เพื่อขับออกภายนอกร่างกาย
- ลำเลียงฮอร์โมนออกจากต่อมไร้ท่อไปยังส่วนที่ฮอร์โมนกระตุ้น
- ช่วยควบคุมการรักษาสมดุลของเหลวภายในร่างกาย
- รักษาอุณภูมร่างกายให้เป็นปกติ
- รักษาความเป็นกรด ด่างในโลหิตที่มี pH ประมาณ 7.4
- ช่วยป้องกันการทำลายเชื้อโรค และสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
ลักษณะเม็ดโลหิตแดงเป็นเซลที่ไม่มีนิวเคลียส มองด้นบนเป็นรูกลม มองด้านข้างเว้าเข้าหากัน การเว้าทำให้ก๊าซซึมเข้าหากันได้ง่าย มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4.2 ไมครอน
(1ไมครอน=0.001มม.)
จำนวนโดยปกติของผู้ชายมีเม็ดโลหิตแดงประมาณ 5 ล้านเซล ต่อ 1 ลบ. มม. ของโลหิต ผู้หญิงมีประมาณ 4.5 ล้านเซล ต่อ 1 ลบ.มม. ของโลหิต หน้าที่ช้วยขนส่งก๊าซออกซิเจนจากปอดไปสู่เยื่อต่างๆ โดยการรวมตัวกับฮีโมโกลบิน Hemoglobinหรือ Hb และในเม็ดโลหิตแดงเป็นออกซีฮีโมโกลบิน Oxyhemoglobin และช่วยลำเลียงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากเนื้อเยื่อไปยังปอด นอกจากนี้Hp ยังช่วยรักษาความเป็นกรด ด่างของโลหิตอีกด้วย (ฮีโมโกลบินประกอบด้วย Heme= โลหิตประมาณ4%ซึ่งประกอบด้วยเหล็ก และ globin สารโปรตีนประมาณ96 %)
นอกจากนี้เม็ดโลหิตแดงอาจถูกกัน (Block) ไม่ให้สามสามารถจับออกซิเจนได้ โดยก๊าซคาร์บอนมอน๊อกไซด์ โดยที่ฮีโมโกลบินจับคาร์บอยมอน๊อกไซด์ดีกว่า ออกซิเจน ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน และทำให้ถึงกับเสียชีวิตได้
หน้าที่ทำให้โลหิตแข็งตัวซึ้งเป็นสารที่ทำให้เลือดแข็งตัว (Blood clot) จดเป็นการห้ามเลือดเมือเกิดบาดแผล สร้างเซลในไขกระดูกมีอายุประมาณ 3-4วัน จะทำลายที่ ตับ ม้าม
อัลบูมิน (Albumin) สร้างจากตับ จะ ถูก ขับออกจากปัสสาวะ
โกลบูลิน (Globulin) สร้างจากเม็ดน้ำเหลือง (Lymphocytes)
ไฟบรีโนเจน (Fibrinogen) และโปรธรอมบิน (Perthrombin) สร้างจากเซลของตับ สารที่สองช่วยในการแข็งตัวของโลหิต
เฮปาริน (Geparin) สร้างจากตับ มีหน้าที่ป้องกันการแข็งตัวของโลหิต
- ค. เกลือแร่ซึ่มประกอบด้วย โซเดียมคลอไรค์ โปแตสเซียมคาร์บอนเนต แคลเซียมใบคาร์บอนเนตแมคเนเยเว๊ยมซัฟเฟต
- ง.อาหารประกอบด้วยกลูโคส อะมิโนเอซิด กรดไขมัน และ วิตามินต่างๆ
- จ.ขแงเสียจากเนื้อเยื่อ (Waste products) ได้แก่ ยูเรีย กรดยูริก ครีอาตีน ซึ่งเกิดจากการเผาผลาญของโปรตีน จะถูกขับออกทางไต
- ฉ.สารต้านทานโรค ( Antibody)
- ช.ก๊าสที่อยู่ในสารละลายเช่น ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ และ ในโตรเจน
- ซ.ฮอร์โมน และ น้ไย่อยต่างๆ
ระบบกลุ่มโลหิต ABO
โลหิตของมนุย์แบ่งออกเป็น 4 หมู่ ด้วยกัน คือ A,B,AB และ O
- โลหิตหมู่ A มีสาร Aในเม็ดโลหิตแดง และ สาร Anti B ในเลือด
- โลหิตหมู่ B มีสาร B ในเม็ดโลหิตแดง และ สาร Anti A ในเลือด
- โลหิตหมู่ AB มีสาร A และ B ในเม็ดโลหิตแดง ไม่มีสาร Anri A และ anti B ในเลือด
- โลหิตหมู่ O ไม่มีสาร A และ B ในเม็ดโลหิตแดง แต่มีสาร Anri A และ anti B ในเลือด
การให้โลหิต (Blood Transfusion)
ในการถ่ายโลหิตจากผู้ให้ (Doner) ไปยังผู็รับ (Recipent) ปฎิกิริยาระว่าสาร A สาร B ในเม็ดเลือดโลหิตต่อ anti A , anti B ในเลือดถือว่าสำคัญมาก การถ่ายโลหิตที่ไม่ปลอดภัยที่สุด ผู้ให้และผู้รับต้องหมู่โลหิตชนิดเดี่ยวกันแต่ถ้าผู้ให้และผู้รับมีโลหิตต่างหมู่ก็อาจทำได้เพราะ Anti A และ Anti B จากผู้ให้บางส่วนจะถูกดูดซึ่มได้โดยเนื้อเยื่อของผู้รับก่อนที่จะเกิดการเกราะกันเป็นกลุ่มและ Anti A และ Anti B ส่วนที่เหลือจากการดูดซึมจะปนกับเลือดของผู้รับจนเจือจางลง จนไม่สามารถ ทำให้เกิดการเกราะกันเป็นกลุ่ม แต่เนื้อเยื้อของผู้รับ จะดูดซึ่มได้เพราะ Anti A หรือ Anti B ของผู้ให้เท่านั้นไม่สามารถ จะดูดซึมสาร A และ B ในเม็ดโลหิตได้ฉะนั้นการถ่ายโลหิตที่ต่างกันทำได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับชนิดของสาร A และ Bของผู่้ให้แต่และชนิด Anti A , Anti B ในตัวผู้รับ
หัวใจ (Heart)
หัวใจทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตเพื่อให้เกิดการไหลเวียนของโลหิตผ่านไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ
ส่วนประกอบของหัวใจ
หัวใขมีเยื่อหุ่้มหัวใจ (Pericardium) ประกอบกันขึ้นเป็น 4 ห้อง 2 ห้องบนผนังบางลิ้นที่ควบคุ้มการไหลเวียนของโลหิตจากหัวใจห้องซ้ายล่างออกสู้เส้นโลหิตแกงใหญ่ คือ พัลโมนารี หรือ เซมิลูน (Pulmonary or Semilunar Valve)
การไหลเวียนของโลหิตผ่านหัวใจ
การบีบของหัวใจห้องบน (Atrium) ช่วยให้โลหิตไหลสู่หัวใจห้อง ล่าง (Ventricle) ทำให้โลหิต ห้องล่างและจากห้องซ้ายล่างทางเส้นโลหิต พันโมนารี อาเตอรี่ (Pulrnoary artery) ไปฟอกที่ปอด และจากห้องซ้ายล่างออกทางเส้นโลหิตแดงใหญ่ (Aorta) ไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย เมือหัวใจห้องบน (Atrium) คลายตัว โลหิตจากเส้นโลหิตดำใหญ่เส้นบนซึ่งนำโลหิตดำจากศีรษะและแขนจะนำเส้นโลหิตดำไปยังเส้นโลหิตดำใหญ่เส้นล่างซึ่งนำโลหิต ลงลำตัวและขา จะนำโลหิตดำเข้าสู่หัวใจบนขาว ขณะเดียวกันโลหิตที่ฟอกแล้วจากปอดจะไหลเข้าสู่หัวใจห้องซ้ายบนทางเส้นเลือดพัลโมนารี (Pulmonary viins) เมือหัวใจห้องซ้ายบนบีบตัว โลหิตก็จะไหลเข้าสู่ห้องล่างแล้วไหลเวียนเช่นที่กล่าวแล้ว การบีบตัวของหัวใจเรียกว่า ซีสโตลี (Systoly) การครายตัวของหัวใจเรียกว่า ไดแอสโตถี (Diastole)
การเต้นของหัวใจ (Heart Beat)
อัตราการเต้นของหัวใจ(Heart Beat)ตามปกติผู้ชายประมาณ 72 ครั้งต่อนาที ผู้หญิงประมาณ 75-80 ครั้งต่อนาที ระยะการทำงานของหัวใจแบ่งเป็น3 ระยะ คือ
- ระยะพัก (puuse) ใช้เวลาประมาณ 0.2 วินาที
- ระยะหดตัว (Systole) ใช้เวลาประมาณ 0.3 วินาที
- ระยะคลายตัว (Diastole) ใช้เวลาประมาณ 0.3 วินาที
เมืออัตรเต้นของหัวใจเฉลี่ย 72ครั้งต่อวินาที
ชีพจร (Pulse)
เกิดจากการขยายตัวการหกตัวของเส้นโลหิตแดงสสับกัน ซึ่งตรงกันการเต้นของหัวใจตำแหน้งที่จับชีพจรได้ก็คือ ที่เส้นโลหิตแดงที่อยู่ผิวๆเช่น ที่ข้อมือด้านด้านนิ้วหัวแม่มือ (Radial Artery) ที่ขมับ(Tamporal Atery) และคอ (Carotid Atery) ยังมีความสำคัญในการฝึกซ้อมกี่ฬาการออกกำลังกายหรือในการวิจัย ที่บอกเกี่ยวกับความหนักเบาของการทำงานของร่างกาย ความสมบูรณ์มากน้อยของร่างกายอีกด้วย
หลอดโลหิต (Blood Vessels)
การไหลเวียนของโลหิตไปเส้นโลหิต และ หัวใจจะเป็นระบบบีด (Closed Blood System) โลหิตจะไหลออกข้างนอกไม่ได้ ถ้าวงจรเปิดแสดงว่าเกิดบาดแผลผนังโลหิตฉึกขาด
หลอดโลหิตแบ่งออกเป็น 2 พวกใหญ่ คือ หลอดโลหิตแดงและดำ ส่วนที่ต่อระหว่างโลหิตแดงและดำเรียกว่าเส้นโลหิตฝอย
โลหิตแดงเริ่มจากหลอดโลหิตแดงใหญ่ (Aorta) เป็นหลอดโลหิตที่ใหญ่ที่ในร่างกาย ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-4 ซ.ม สาขาของหลอดโลหิตใหญ่ คือเส้นโลหิตแดง (Atery) เช่น
เส้นโลหิตแดงเลี้ยงปลายแขนด้านนิ้วหัวแม่มือ (Radie Artry) และ ส่วนสุดท้ายเส้นโลหิตฝอย (Capillary)
โลหิตดำเริ่มจากเสิ้นโลหิตฝอย ขนของเสียได้ และไหลรวมเป็นเส้นโลหิตดำใหญ่ (Inferior vena pressure) เข้าสู่หัวใจห้องบนขวาต่อไป
ความดันโลหิต (Blood Pressure)
การไหลเวียนของโลหิตจะเกิดขึ้นได้โดยมีแรงดัน เรียกว่า ความดันโลหิต โดยปกติจะวัดความดันได้ที 120/70 มม.
ความดันโลหิตจะ สูงหรือต่ำ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่างๆ เช่น อายุถ้าอายุมากความดันโลหิตจะสูงด้วยรูปร่างคนอ้วนความดันโลหิตจะสูงกว่าคนปกติขณะวัด ยืนวัดความดันโลหิตจะสูงกว่านั้งวัด และอารมณ์ หากตกใจหรือตื่นเต้น ความดันโลหิตจะสูงขึ้น
ระบบน้ำเหลือง (Lymphatic System)
หน้าที่ของระบบน้ำ
- ช้วยนำโปรตีนในช่องระหว่างเซลที่หลุดออกมาจากหลอดโลหิตฝอย และสารอื้นๆ ให้กลับเข้าสู่กระแสโลหิตใหม่
- กำจัดพวกแบคทีเรีย หรือ สารแปลกปลอมอื้นๆ โดยเซลที่อยู่ภายในต่อมน้ำเหลืองจะเป็นตัวจับกิน(Phagocytosis)
- ต่อมน้ำเหลืองสามารถาสร้างสารต้านทานโรค (Antibodies) ได้เมือแบคทีเรีย หรือ สารแปลกปลอม(Antigen)เข้าสู่ร่างกาย
- เป็นทางผ่านของอาหาร โดนเฉพาะ พวกไขมันจากลำไส้ไปยังกระแสโลหิต โดยผ่านท่อน้ำเหลือง (Lacteal) ที่ผนังลำไส้
ขอบคุณที่เข้ามานั้งอ่านนะแสดงคิดเห็นด้วยคับ
No comments:
Post a Comment